ในบทความนี้เราจะพูดถึง 24 สิ่งที่คน เป็น โรคกระเพาะห้ามกินอะไร บ้าง ? คุณสามารถกิน โยเกิร์ต ผลไม้ ข้าวเหนียว ยาคูลท์ ได้ไหม? พร้อมทั้งมีแนะนำเมนูอาหารเคลือบกระเพาะ และอาหารเสริมที่เป็นยาแก้โรคกระเพาะดีที่สุด ให้อีกด้วย
ถ้าพร้อมแล้วก็ไปดูกันเลย!!
24 สิ่งที่คน เป็น โรคกระเพาะห้ามกินอะไร บ้าง ?
โรคกระเพาะ คือ การอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร ภาวะนี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย รวมถึงการใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) มากเกินไป การติดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร และการใช้แอลกอฮอล์ในทางที่ผิด
มีอาหารบางชนิดที่คน เป็น โรคกระเพาะห้ามกิน เพราะสามารถระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะอาหารได้ และทำให้อาการของโรคกระเพาะอาหารแย่ลงได้ ซึ่งอาหารที่ไม่ควรรับประทานเหล่านี้ได้แก่:
- อาหารรสเผ็ด อาจจะไปทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารระคายเคืองและทำให้เสียดท้องหรืออาหารไม่ย่อยได้
- อาหารทอด เพราะมีไขมันสูง ซึ่งอาจทำให้การย่อยอาหารช้าลงและทำให้ท้องอืดและไม่สบายได้
- ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้มและมะนาว สามารถเพิ่มการผลิตกรดในกระเพาะอาหารและทำให้เกิดการระคายเคืองได้
- ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากมะเขือเทศ เพราะในตัวของมันจะมีกรดชนิดที่สามารถไประคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหารได้
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากแอลกอฮอล์สามารถทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารระคายเคืองและไปเพิ่มกรดในกระเพาะอาหาร
- คาเฟอีน เพราะเป็นสารกระตุ้นที่เพิ่มการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร และทำให้เกิดปัญหาการย่อยอาหาร
- อาหารไขมันสูง อย่างเช่น อาหารจำพวก Fast food
- ของหมักดอง
- อาหารรสจัด
- กาแฟ
- น้ำอัดลม เนื่องจากไปเพิ่มแก๊สและทำให้เกิดอาการท้องอืด อันเป็นผลให้อาการของโรคกระเพาะแย่ลงได้
- อาหารที่เป็นกรด
- ผลไม้ที่เป็นกรด
- เนื้อแปรรูป เช่น เบคอน ไส้กรอก
- เนื้อสำเร็จรูปพวกที่มีเกลือและสารกันบูดสูง
- กระเทียม
- หัวหอม
- ช็อกโกแลต เพราะมีคาเฟอีนและยังไปกระตุ้นให้มีกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มอีกด้วย
- สะระแหน่ จะไปทำให้กล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างผ่อนคลาย ซึ่งจะทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปถึงหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อน และโรคกระเพาะจะแย่ลง
- ผักดิบ ไม่ควรทานเพราะจะย่อยยากมากๆ
- ธัญพืชที่ผ่านการขัดสี อย่างเช่น ขนมปังขาวและพาสต้า
- ถั่วและเมล็ดพืช เพราะย่อยยาก
- เนื้อแดง เพราะจะมีไขมันสูง
- สารให้ความหวานเทียม
สิ่งสำคัญ คือ การหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ หากคุณเป็นโรคกระเพาะ ให้พยายามรับประทานอาหารที่อุดมด้วยผลไม้ ผัก และธัญพืชเต็มเมล็ด ไขมันและเครื่องเทศต่ำ นอกจากนี้ การรับประทานอาหารมื้อเล็กและบ่อยขึ้นอาจเป็นประโยชน์มากกว่าการรับประทานอาหารมื้อใหญ่และหนัก
อยากรู้เรื่องอาการของโรคกระเพาะอาหารอักเสบ สาเหตุเกิดจากอะไรใช่ไหม?
คุณสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ :
เมื่อเป็น แผล ใน กระเพาะ อาหาร ห้าม กิน อะไร
มีสิ่งที่คน เป็น แผล ใน กระเพาะ อาหาร ห้าม กิน ในระหว่างที่เป็น แผลในกระเพาะอาหาร เป็นแผลเปิดที่เกิดขึ้นในเยื่อบุหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็ก เกิดได้จากหลายปัจจัยมาก
ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) มากเกินไป การติดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร และความเครียด
และเพื่อช่วยป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร สิ่งสำคัญ คือ ต้องหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มบางชนิดที่อาจทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารระคายเคืองและเพิ่มการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร อาหารและเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยงเหล่านี้ได้แก่:
- น้ำอัดลม อย่างเช่น โซดา , โค้ก เพราะมีแก๊สมากกระเพาะขยายตัวทำให้ปวดมากขึ้นและกระตุ้นให้หลั่งกรดเพิ่มขึ้นด้วย
- ช็อกโกแลต เพราะมีสารที่สามารถคลายกล้ามเนื้อระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร ทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหาร
- อาหารทอด
- อาหารรสเปรี้ยวจัด
- อาหารรสเผ็ด ก็อาจทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารระคายเคืองและทำให้เสียดท้องหรืออาหารไม่ย่อย
- ของดอง
- ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้มและมะนาว สามารถก่อให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารและทำให้เกิดการระคายเคืองได้
- ผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศ
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่างๆ อย่างเช่น เหล้า , เบียร์
- คาเฟอีน เช่น ชา ,กาแฟ เพราะเป็นตัวกระตุ้นที่สามารถเพิ่มการผลิตกรดในกระเพาะอาหารและทำให้เกิดปัญหาการย่อยอาหาร
- กระเทียมและหัวหอม อาจทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารระคายเคืองและเพิ่มกรดในกระเพาะอาหาร
- สะระแหน่ เนื่องจากสามารถคลายกล้ามเนื้อระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร ทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหาร
สิ่งสำคัญ คือ ต้องหลีกเลี่ยงอาหารมื้อใหญ่ๆและหนัก เนื่องจากอาหารเหล่านี้สามารถเพิ่มการผลิตกรดในกระเพาะอาหารและกดดันกระเพาะอาหารได้
และสิ่งที่ควรทำ คือ ให้พยายามทานอาหารมื้อเล็ก ๆ และบ่อยขึ้นแทน การหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร 1-2 ชม. ก่อนเข้านอน ก็อาจช่วยเป็นประโยชน์ได้เช่นกัน เนื่องจากลดความเสี่ยงต่อการเกิดกรดไหลย้อนได้
นอกจากการหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดแล้ว สิ่งสำคัญ คือ ต้องจัดการกับความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพออีกด้วย
หากคุณต้องทานยา ก็ต้องปรึกษา ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และรับประทานยาตามที่กำหนด โดยแพทย์ของคุณอาจแนะนำยารักษาอื่นๆ อย่างเช่น ยาลดกรด เพื่อช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารของคุณ
เป็นโรคกระเพาะกินโยเกิร์ตได้ไหม
เดี๋ยวนี้หลายคนสงสัยว่า เป็นโรคกระเพาะกินโยเกิร์ตได้ไหม ก็ต้องตอบว่า "ได้" นั้นเพราะมีหลักฐานที่ชี้ว่าการทานโยเกิร์ตจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เป็นโรคกระเพาะได้ ซึ่งมีเหตุผลดังนี้ ได้แก่ :
- โยเกิร์ตมีโปรไบโอติก ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่มีประโยชน์ สามารถช่วยคืนสมดุลของแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ได้ และยังสามารถช่วยปรับปรุงการย่อยอาหารและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อได้อีกด้วย
- โยเกิร์ตเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี สิ่งที่ควรทราบอีกเรื่อง คือ โปรตีนเป็นสารอาหารสำคัญที่จำเป็นต่อการซ่อมแซมและการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อในร่างกาย การบริโภคโปรตีนในปริมาณที่เพียงพอสามารถช่วยรักษาและเสริมสร้างเยื่อบุกระเพาะอาหารได้
- โยเกิร์ตเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดี นอกจากโปรตีนแล้ว แคลเซียมก็ยังเป็นสารอาหารสำคัญที่จำเป็นต่อการทำให้ร่างกายทำงานของกล้ามเนื้อและการแข็งตัวของเลือดปกติ อีกทั้งยังมีความสำคัญต่อสุขภาพของกระดูกและฟันอีกด้วย
- โยเกิร์ตย่อยง่าย เพราะโยเกิร์ตเป็นอาหารหมักที่ย่อยง่ายกว่าผลิตภัณฑ์จากนมประเภทอื่นๆ จึงทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการย่อยอาหารอยู่
แต่สิ่งที่ไม่ควรลืมเลย คือ โยเกิร์ตอาจมีประโยชน์สำหรับคนเป็นโรคกระเพาะ แต่ก็ไม่ใช่วิธีรักษาทั้งหมด
สิ่งสำคัญ คือ ต้องทานอาหารให้สมดุลครบทั้ง 5 หมู่ และหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่อาจทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารระคายเคือง
นอกจากนี้ยังอาจเป็นประโยชน์ในการพูดคุยกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับแนวทางการบริโภคอาหารที่ดีที่สุดสำหรับการจัดการโรคกระเพาะ
เป็นโรคกระเพาะห้ามกินผลไม้อะไร
สำหรับคน เป็นโรคกระเพาะห้ามกินผลไม้อะไร นั้นขึ้นอยู่ว่าผลไม้ชนิดนั้นจะทำให้อาการของโรคกระเพาะแย่ลงหรือทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารระคายเคืองได้หรือไม่ ซึ่งผลไม้ไม่ควรกินก็คือ
- ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้มและมะนาว ที่สามารถเพิ่มการผลิตกรดในกระเพาะอาหารและทำให้เกิดการระคายเคืองได้
- ผลไม้แห้ง อย่างเช่น ลูกเกดและลูกพรุน อาจย่อยยากและอาจทำให้ท้องอืดและไม่สบายได้
- ผลไม้หมักดองทุกชนิด
- ผลไม้แช่อิ่มทุกชนิด
- ผลเบอร์รี่ต่างๆ เช่น สตรอเบอร์รี่ และ ราสเบอร์รี่ ทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารระคายเคือง
- สับปะรด ซึ่งมีเอนไซม์ที่เรียกว่าโบรมีเลน ซึ่งอาจทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารระคายเคืองและทำให้เกิดปัญหาทางเดินอาหารได้
- แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่อาจจะมีประโยชน์สำหรับบางคนที่เป็นโรคกระเพาะ แต่สำหรับบางคนก็อาจทำให้โรคกระเพาะกำเริบได้เช่นกัน
- กีวี
- บลูเบอร์รี่
- องุ่น
- ลูกพลัม
- มะเขือเทศ
- ฝรั่งดอง
- ฝรั่งแช่บ๊วย
- มะม่วงดอง
- มะดันดอง
- มะปรางดอง
- องุ่นดอง
สิ่งที่ควรรู้เลย คือ ต้องใส่ใจว่าร่างกายของคุณมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อผลไม้ต่างๆที่คุณกิน และจำไว้ว่าผลไม้ชนิดไหนทำให้ร่างกายของคุณเกิดอาการกระเพาะอาหาร
อยากรู้ไหมว่ากินยารักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ กี่วันหาย แล้วต้อง กินยาอะไร ?
คุณสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ :
โรคกระเพาะกินข้าวเหนียวได้ไหม
สำหรับผู้ที่เป็น โรคกระเพาะ ระบบการย่อยไม่ค่อยดี ไม่ควรกินข้าวเหนียว เพราะจะทำให้เกิดอาการไม่ประสงค์ของโรคกระเพาะ อันได้แก่
- อาการแน่นท้อง
- อาหารไม่ย่อย
- ท้องอืด
- ร้อนใน
- เจ็บคอ
เป็น โรค กระเพาะ กิน ยาคูลท์ ได้ ไหม
คำถามที่ว่า โรคกระเพาะกินยาคูลท์ได้ไหม ก่อนอื่นเลยเราต้องรู้ก่อนว่า ยาคูลท์เป็นเครื่องดื่มประเภทนมที่ใช้การหมักแบคทีเรียโปรไบโอติกที่มีชีวิต ซึ่งโปรไบโอติกเป็นแบคทีเรียที่มีประโยชน์ซึ่งสามารถช่วยคืนสมดุลของแบคทีเรียที่ดีในลำไส้และเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดี มีหลักฐานที่ชี้ว่าการบริโภคโปรไบโอติกเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะได้ และนี่เป็นประโยชน์ของการบริโภคยาคูลท์ต่อคนที่เป็นโรคกระเพาะอยู่ ได้แก่
- ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไพโลไร (H.pylori) ที่เป็นแบคทีเรียที่สามารถทำให้เกิดโรคกระเพาะได้
- การย่อยอาหารดีขึ้น เพราะโปรไบโอติกสามารถช่วยปรับปรุงการย่อยอาหารและลดความเสี่ยงของความผิดปกติของระบบย่อยอาหาร
- ลดอาการปวดท้องลงได้
- ลดอาการท้องอืดได้
- ลดอาการท้องผูกได้
- ลดอาการท้องเสียลงได้
จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็น โรคกระเพาะกินยาคูลท์ได้ไหม เพราะจากประโยชน์ที่ได้เขียนไปข้างต้น สามารถบอกได้เป็นอย่างดีว่าสามารถ กินยาคูลท์ได้
เป็นโรคกระเพาะกินอะไรได้บ้าง
สำหรับคนที่ เป็นโรคกระเพาะกินอะไรได้บ้าง นั้น เพื่อช่วยจัดการกับอาการของโรคกระเพาะ ทางเราได้รวบรวมประเภทของ อาหาร ผลไม้ ผัก และเมล็ดธัญพืชต่างๆ มาแนะนำให้คนที่เป็นโรคกระเพาะว่าควรรับประทานอะไรบ้าง ได้แก่
- โปรตีนไม่ติดมัน เช่น ไก่ ไก่งวง และปลา เป็นแหล่งสารอาหารที่ดีและย่อยง่าย
- ธัญพืชไม่ขัดสี อย่างเช่น ข้าวโอ๊ต ควินัว และข้าวกล้อง มีไฟเบอร์สูงและสามารถช่วยปรับปรุงการย่อยอาหาร
- ผลไม้ที่มีกรดต่ำ เช่น แอปเปิ้ล กล้วย และเมลอน เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ
- อาหารที่มีความเป็นกรดต่ำ อย่างเช่น แตงกวา หน่อไม้ฝรั่ง สาหร่าย
- อาหารย่อยง่าย
- อาหารไขมันต่ำ เช่น เนื้อปลา อกไก่
- ผักต่างๆ อย่างเช่น บรอกโคลี ผักใบเขียว และมันเทศ เป็นแหล่งของสารอาหารที่ดี
- พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วและถั่วเลนทิล มีโปรตีนและไฟเบอร์สูง
- ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ อย่างเช่น โยเกิร์ตและนม สามารถให้สารอาหารที่สำคัญและอาจย่อยได้ง่ายกว่าผลิตภัณฑ์นมไขมันเต็ม
- แอปเปิ้ล เพราะมีไฟเบอร์สูง และมีสารประกอบที่สามารถช่วยทำให้กรดในกระเพาะอาหารเป็นกลาง
- กล้วย ที่เป็นแหล่งโพแทสเซียมที่ดีและย่อยง่าย อีกทั้งยังยับยั้งการหลั่งน้ำย่อย ช่วยรักษาแผลในกระเพาะ
- เมลอน เช่น แตงโม และ แคนตาลูป มีปริมาณน้ำสูงและย่อยง่าย แถมยังสามารถช่วยลดการอักเสบ
- ลูกแพร์ เนื่องจากมีไฟเบอร์สูงและมีสารประกอบที่สามารถช่วยแก้กรดในกระเพาะอาหาร
- มะม่วง เพราะเป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุที่ดี และยังย่อยง่ายอีกด้วย
- มะละกอ มีเอนไซม์ที่เรียกว่าปาเปน ซึ่งสามารถช่วยสลายโปรตีนและปรับปรุงการย่อยอาหาร
- ผักใบเขียว อย่างเช่น ผักโขมและคะน้า มีสารอาหารสูงและโดยทั่วไปแล้วผู้ที่เป็นโรคกระเพาะจะทนได้ดี
- บรอกโคลี เป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุที่ดี และยังย่อยง่ายอีกด้วย
- มันฝรั่งหวาน เป็นแหล่งสารอาหารที่ดี
- ข้าวโอ๊ต มีไฟเบอร์สูงและสามารถช่วยปรับปรุงการย่อยอาหาร
- ควินัว ซึ่งเป็นธัญพืชที่มีโปรตีนสูง ย่อยง่าย
- ข้าวกล้อง เป็นธัญพืชเต็มเมล็ดที่มีเส้นใยสูงและสามารถช่วยปรับปรุงการย่อยอาหาร
- โยเกิร์ต เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีและมีโปรไบโอติกซึ่งสามารถช่วยคืนสมดุลของแบคทีเรียที่ดีในลำไส้
- นม เป็นแหล่งแคลเซียมและสารอาหารอื่นๆ ที่ดี แต่อาจย่อยยากกว่าผลิตภัณฑ์โยเกิร์ต
- อาหารที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร เช่น พืชตระกูลถั่ว แครอท บล็อกโคลี
- อาหารที่ปรุงโดยใช้น้ำมันมะกอก และน้ำมันคาโนลาเป็นหลัก
เมนูอาหารโรคกระเพาะ
เพื่อช่วยลด และบรรเทาอาการของโรคกระเพาะ สิ่งสำคัญ คือ เมนูอาหารโรคกระเพาะ ซึ่งเป็นเมนูที่เป็นมิตรต่อโรคกระเพาะ ซึ่งควรมีวิธีในการเลือกดังนี้
- ทานเป็นเนื้อสัตว์ ย่อยง่าย ไขมันต่ำ เช่น ปลา เนื้อไก่
- หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่เหนียว
- รับประทานผักที่ต้มหรือนึ่งจนสุกให้หลากหลาย
- ทานผักใบเขียวให้มากๆ
- หลีกเลี่ยงผลไม้ดอง
- ทานผลไม้ที่ใยอาหารสามารถละลายน้ำได้ เช่น กล้วย แอปเปิ้ล มะละกอ
- ลดน้ำมันในการปรุงให้น้อยที่สุด
- ไม่ทานอาหารประเภทไขมันสูง เช่น เนย กะทิ
- ไม่ทานของทอดทุกชนิด
- เลี่ยงทานขนมปัง
- ทานอาหารพวกโพรไบโอติกส์ เช่น โยเกิร์ต
- ทานอาหารที่มีความเป็นกรดต่ำ
ซึ่งบางคนอ่านแล้วอาจไม่แน่ใจในสิ่งที่คนเป็นโรคกระเพาะควรทานและหลีกเลี่ยง ทางเราจึงจัดตัวอย่าง เมนูอาหารโรคกระเพาะ ให้ไว้หลายๆแบบ ดังนี้
อาหารเคลือบกระเพาะเมนูที่ 1
- อาหารเช้า : ข้าวโอ๊ตกับกล้วยหั่นบาง ๆ และนมหนึ่งแก้ว
- อาหารกลางวัน : ไก่ย่างกับข้าวกล้องและบรอกโคลีนึ่ง
- อาหารเย็น : ปลาแซลมอนอบกับมันเทศและหน่อไม้ฝรั่งย่าง
- อาหารว่าง : แอปเปิ้ลฝานกับเนยถั่ว โยเกิร์ตกับผลเบอร์รี่ หรืออัลมอนด์หนึ่งกำมือ
อาหารเคลือบกระเพาะเมนูที่ 2
- อาหารเช้า : ไข่คนกับขนมปังโฮลเกรนและน้ำส้มหนึ่งแก้ว
- อาหารกลางวัน : ไก่งวงและชีสห่อด้วยแครอทแท่งและผลไม้
- อาหารเย็น : ไก่ย่างกับ quinoa และผักย่าง
- อาหารว่าง : ฮัมมูสกับผัก สมูทตี้ที่ทำจากกล้วยและโยเกิร์ต หรือแตงโมฝานหนึ่ง
อาหารเคลือบกระเพาะเมนูที่ 3
- อาหารเช้า : โยเกิร์ตกรีกกับผลเบอร์รี่และโรยถั่ว
- อาหารกลางวัน : ซุปถั่วกับขนมปังโฮลเกรนและสลัดเครื่องเคียง
- อาหารเย็น : ปลาย่างกับข้าวกล้องและหน่อไม้ฝรั่งนึ่ง
- อาหารว่าง : แอปเปิ้ลฝานกับเนยถั่ว ชีสเสิร์ฟเล็กน้อยกับแครกเกอร์โฮลเกรน หรือป๊อปคอร์นไม่ใส่เกลือเล็กน้อย
อาหารเคลือบกระเพาะเมนูที่ 4
- อาหารเช้า : ข้าวโอ๊ตกับกล้วยฝานและโรยถั่ว
- อาหารกลางวัน : สลัดถั่วชิกพีกับแครกเกอร์โฮลเกรนและผลไม้
- อาหารเย็น : หมูย่างกับมันเทศอบและกะหล่ำดาวอบ
- ของว่าง : ไข่ต้ม ขึ้นฉ่ายฝรั่งกับครีมหรือกรีกโยเกิร์ตเล็กน้อย
อาหารเคลือบกระเพาะ มีอะไรบ้าง
สำหรับ อาหารเคลือบกระเพาะ เป็นอาหารที่ช่วยเคลือบเยื่อบุกระเพาะอาหารและลดการระคายเคืองสำหรับคนเป็นโรคกระเพาะได้เป็นอย่างดี ทางเราได้ list อาหารเคลือบกระเพาะ มาให้คุณแล้ว ได้แก่
- อาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช
- อาหารที่มีใยอาหารที่ละลายน้ำได้
- กล้วย เป็นแหล่งโพแทสเซียมที่ดีและย่อยง่าย
- ข้าวโอ๊ต เป็นธัญพืชเต็มเมล็ดที่มีไฟเบอร์สูง
- แอปเปิ้ล เป็นแหล่งไฟเบอร์ที่ดี
- ข้าว โดยเฉพาะข้าวขาวย่อยง่าย และช่วยเคลือบเยื่อบุกระเพาะอาหาร
- ขนมปังปิ้ง เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวที่ย่อยง่าย
- น้ำซุป
- มะละกอ
- มะขามป้อม
- ฝรั่ง
- ลูกยอ
- แคนตาลูป
แนะนำ ยาแก้โรคกระเพาะ ดีที่สุด
หากคุณกำลังมองหา ยาแก้โรคกระเพาะ ดีที่สุด ทางเราขอแนะนำให้ลอง
- Green Curmin
- Curma Max
ซึ่ง 2 ตัวนี้เป็นสูตรเฉพาะที่มีขมิ้นซึ่งเป็นสารต้านการอักเสบตามธรรมชาติที่ทราบกันดีว่ามีความสามารถในการลดการอักเสบในร่างกายและบรรเทาอาการของโรคกระเพาะ เช่น ปวดท้อง คลื่นไส้ และอาหารไม่ย่อย
Green Curmin เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดแคปซูลที่ประกอบด้วยสารสกัดขมิ้นเข้มข้นสูง ออกแบบมาให้ทานทุกวันเพื่อรักษาโรคที่มาจากกระเพาะอาหารในระยะยาว และเพื่อแก้ปัญหาการอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากโรคกระเพาะอีกด้วย
ในทางกลับกัน Curma Max เป็นอาหารเสริมแบบน้ำ สามารถบรรเทาอาการของโรคกระเพาะได้ในทันที ง่ายต่อการบริโภคและสามารถรับประทานได้ตามต้องการ
อาหารเสริมทั้ง 2 ตัวนี้ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาการอักเสบและบรรเทาอาการโรคกระเพาะเท่านั้น ยังได้รับการรับรองคุณภาพการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากโรงงานที่ได้รับมาตรฐาน GMP, HACCP, ISO9001:2015 และ HALAL ด้วยมาตรฐานที่เข้มงวดอีกด้วย
อีกทั้งยัง ทำจากสมุนไพรที่เป็นธรรมชาติ จึงปลอดภัยต่อผู้ทานและไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงอีกด้วย แตกต่างจากยาที่ขายตามเคาน์เตอร์ หรือยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์จำนวนมากที่อาจจะมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์แถมมาด้วย
ดังนั้นหากคุณเบื่อที่จะรับมือกับความเจ็บปวดจากโรคกระเพาะ อยากให้ลองเปิดใจทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Green Curmin และ Curma Max ดู ทางเรามั่นใจว่าอาการของคุณจะดีขึ้นคุณและจะประทับใจในผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
หากคุณสนใจตัวอาหารเสริม Green Curmin คุณสามารถกดเข้าไปดูข้อมูลเชิงลึกได้ที่นี่ :
--> 【 ยา ลด กรด ไหล ย้อน 】ขมิ้นชัน กรีนเคอมิน green curmin ดีไหม <--
สรุป
เพื่อช่วยในการลด บรรเทา และรักษาโรคกระเพาะ สิ่งสำคัญที่จะช่วยได้ คือ หลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดที่ไปกระทบทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารระคายเคือง และทำให้อาการของคนเป็นโรคกระเพาะแย่ลง ซึ่งอาหารที่คนเป็นโรคกระเพาะควรหลีกเลี่ยงและห้ามกิน ได้แก่ :
- อาหารรสเผ็ด
- อาหารรสจัดๆ
- อาหารที่เป็นกรด
- อาหารทอด
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
นอกเหนือจากอาหารข้างต้นนี้แล้ว ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะก็ควรรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ให้มีความสมดุล ครบทั้ง 5 หมู่ ซึ่งมีผลไม้ ผัก และไฟเบอร์จำนวนมาก อีกทั้งไม่ควรกินอาหารมื้อใหญ่ๆเช่นกัน เพราะจะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนัก
ที่มา : thonburihospital, posttoday